หน้าแรก Sritown.com

ผู้เขียน หัวข้อ: Child Grooming หรือพฤติกรรมการเข้าหาเด็กโดยมีจุดประสงค์ทางเพศ ทำไมถึงต้องระวัง ?  (อ่าน 990 ครั้ง)

promotion

  • โจรสลัดจอมลุย / โคโนฮะกลุ่ม 7
  • *
  • กระทู้: 2499



เด็กก็เหมือนผ้าขาว
เราเชื่อว่าหลายคนคงจะเคยได้ยินคำนี้กันมาจนเบื่อ



เมื่อมองเผินๆ มันก็เหมือนเป็นแค่คำเปรียบเปรยทั่วไป แต่ความจริงแล้วมันได้อธิบายความหมายเอาไว้ได้แบบแยบยล และตรงตัวที่สุดแล้ว ผ้าขาว เป็นเหมือนตัวแทนของความบริสุทธิ์ของเด็ก แต่การจะคงไว้ด้วยความบริสุทธิ์ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นไปได้ตลอด เพราะนานวันเข้าสีของผ้าก็ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งคนเป็นพ่อแม่ส่วนใหญ่ก็มักจะพยายามทำยังไงก็ได้ เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของลูกๆ ให้คงอยู่ไว้ให้นานมากที่สุด

แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์มันก็ต้องมีทั้งอะไรที่ คาดถึงและคาดไม่ถึง  พี่ โปร ขอยกตัวอย่างเช่นเคสกรณีศึกษาล่าสุดกับพฤติกรรมการแสดงออกของคนเป็นพ่อที่ไม่เหมาะสม สำหรับเคสนี้ทำให้หลายคนพูดถึงกันไปต่างๆ นานา มีทั้งเสียงวิจารณ์ที่สนับสนุน กับไม่สนับสนุน ซึ่งโดยส่วนตัวเรามองว่ามันมองได้ 2 ด้านนะ คือ จะมองว่ามันเป็นแค่การแสดงออกของคนเป็นพ่อที่เค้าอาจจะไม่ได้คิดอะไร หรือมันอาจจะมองได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือมีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า

โดยมันทำให้เรานึกถึงคำๆ นึงขึ้นมา อย่างคำว่า Child Grooming ที่เราค่อนข้างมั่นใจเลยว่าถ้าเปลี่ยนเป็นคำว่า Sexual Harassment ทุกคนอาจจะพอเข้าใจกันมากกว่า แต่เราจะบอกว่าความหมายของ Child Grooming นี้ มันเป็นพฤติกรรมที่จะนำไปสู่ การ Sexual Harassment ได้  แถมยังดำเนินไปอย่างแยบยล ด้วยการอาศัยการมอบความรัก ความไว้ใจ โดยมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝง ยกตัวอย่างเช่น การล่อลวงหรือทารุณกรรมทางเพศ นั่นเอง









" อาศัยความใกล้ชิด และค่อยๆ ตีสนิท " นี่แหละคือวิธีการของ Child Grooming


ต้องเข้าใจกันก่อนว่า การแสดงความรัก หรือการเข้าหาเด็กคนนึงไม่ใช่เรื่องที่ผิด  ถ้าคุณไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรบางอย่างที่มันไม่ดีแอบแฝงอยู่ ขีดเส้นใต้ที่คำว่า ไม่ดี ด้วยนะ เพราะบางทีเราอาจจะต้องการทำความรู้จักกับเด็กคนหนึ่ง เพื่ออยากให้เด็กคนนั้นยอมเปิดใจเล่นกับเรา หรือคลายความอึดอัดที่เด็กคนนั้นมีต่อเรา อันนี้พี่ promotion ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกอะไร เพราะเราก็เป็นบ่อยเวลาเจอกับญาติที่เป็นเด็กครั้งแรก มันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา ที่เด็กคนนั้นจะรู้สึกอึดอัดหรือรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อต้องคุยกับคนแปลกหน้าเป็นครั้งแรก

แต่การเข้าหาเด็ก โดยมีวัตถุประสงค์ที่ใช้เวลาเตรียมการมาเป็นระยะเวลานึง และแน่นอนว่าวัตถุประสงค์ที่ว่านั้นไม่ใช่เรื่องที่ดี นี่แหละคือสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม คือเราไม่มีทางรู้หรอกว่าเจตนาในการเข้าหาเด็กของแต่ละคนคืออะไร เพราะคงจะไม่มีใครเปิดเผยให้คนรอบข้างรู้กันทั้งหมด ว่าเห้ย ชั้นอยากรู้จักเด็กคนนี้เพราะอย่างนี้ๆ นะ บลาๆๆ แต่เราสามารถจับสังเกตได้ หากเราเห็นพฤติกรรมการแสดงออกที่มันดูเกินเลย ไม่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น การถึงเนื้อถึงตัวมากเกินไป หรือการใช้คำพูดที่ล่อแหลมกับเด็ก นี่แหละเราสามารถคาดการณ์นำไปก่อนได้เลยว่า ลางสังหรณ์ของเราน่าจะใช้ได้ผล

ซึ่งวิธีการเข้าหาเด็กแบบ Child Grooming พี่ promotions บอกเลยว่ามีวิธีการแบบนี้เลยทุกคน คือเป็นวิธีการที่ผู้ใหญ่คนนึงใช้เข้าหาได้ทั้งเด็กเล็ก ไปจนถึงเด็กโตกันเลย บางทีอาจจะอยู่ในคราบของคุณอาแสนดี ชอบซื้อขนมมาให้ ตามใจเราทุกอย่าง จนสุดท้ายแล้วเราเกิดความรู้สึกสบายใจ เผลอๆ อาจจะรู้สึกดีมากกว่าคนเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงเสียอีก *ขอย้ำอีกทีว่าไม่ใช่กับทุกคนนะ ที่จะเข้าหาเด็กแล้วมีเจตนาไม่บริสุทธิ์แบบนี้

ที่สำคัญวิธีการนี้อาจจะอาศัยความแยบยลยิ่งกว่า เพราะนอกจากตัวของเด็กแล้ว บางทีคนๆ นั้นอาจจะเข้าหาคนเป็นพ่อแม่ด้วย เพื่อให้พ่อแม่ของเด็กเกิดความไว้วางใจ ในการปล่อยให้ลูกๆ ใช้เวลาอยู่กับเค้าได้ตามลำพัง ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าเวลาที่คนนั้นอยู่กับลูกของตัวเองแล้วพวกเค้าทำอะไรกันบ้าง แล้วด้วยความเป็นเด็ก พวกเค้าก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าพฤติกรรมที่ผู้ใหญ่คนนึงกำลังแสดงออกกับเราอยู่ในตอนนั้นเป็นเรื่องที่ผิด หรือไม่เหมาะสมยังไง ซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็นตามหน้าข่าวอยู่ออกจะบ่อย อย่างน้อยคงต้องมีสักเคสนึงแหละที่เพื่อนๆ คงจะเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้ว










แล้ว Child Grooming ไม่เหมือนกับ
Sexual Harassment ตรงไหน ?



จริงอยู่ที่สองอย่างนี้เราสามารถตีความได้ว่าเป็นพฤติกรรมการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมเหมือนกัน แต่ทว่าความแตกต่างของทั้ง 2 คำนี้ จะอยู่ที่ทามไลน์ของการเกิด แต่พี่ โปรโมชั่น ว่ามันก็มีที่จุดที่อาจจะแตกต่างกันอยู่นิดนึงตรงที่ Child Grooming จะเกิดขึ้นก่อน Sexual Harassment หลายคนคงจะเข้าใจความหมายของ Sexual Harassment กันอยู่แล้วว่ามันคือการแสดงออกทางเพศที่ไม่เหมาะสม หรือมีเจตนาบางอย่างแอบแฝงในทางที่ไม่ดี อาทิเช่น การแตะเนื้อต้องตัว การแทะโลมทางสายตา หรือการพูดจาสองแง่สองง่าม โดยที่คนๆ นั้นอาจจะเป็นคนที่สนิทสนมกับเรามาก่อน หรืออาจจะเป็นคนที่เพิ่งรู้จักกัน ลามไปจนถึงคนแปลกหน้าเลยก็ได้

ผิดกับ Child Grooming ตรงที่ว่า Child Grooming จะเป็นพฤติกรรมที่ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป อาศัยการทำความรู้จักและสนิทสนม จนทำให้เด็กคนนึงรู้สึกว่าผู้ใหญ่ที่กำลังเข้าหาเราอยู่เป็นคนที่ไว้ใจได้ เค้าจะให้เราทำอะไร เราก็สามารถทำให้ได้ และสุดท้ายก็จะนำไปสู่การ Sexual Harassment แบบที่เด็กคนนั้นอาจจะสมยอมด้วยความที่ไม่รู้ หรือคาดไม่ถึง ซึ่งพฤติกรรมทั้ง 2 อย่างนี้เป็นอะไรที่อันตรายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นเด็กเล็ก หรือโตพอจะรู้เรื่องแล้วก็ตาม เอาจริงๆ มันไม่ต่างจากการหักหลังนะ แต่เด็กคนนั้นอาจจะไม่รู้จักคำว่าหักหลัง หรือคำว่าถูกหลอก ว่ามันคืออะไร จนอาจจะทำให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของคนๆ นึงไปแบบที่ไม่ทันได้ระวังตัว





เห็นผลภายใน 2 สัปดาห์
ลดผมร่วงได้อย่างชัดเจน

 




อ่านเนื้อหาฉบับเต็ม คลิ๊กเลย >>>> https://www.punpro.com/p/Child-Grooming







Child Grooming = อาชญากรรม


เป็นอาชญากรรมแน่นอนจ่ะทุกคน เพราะพฤติกรรมแบบนี้ถือว่าเป็นการทารุณกรรมทางเพศอย่างนึงเลยนะ  ซึ่งในหลายประเทศเค้าก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เอามากๆ คือ มีการกำหนดความผิด + การคาดโทษเอาไว้แบบชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีบทลงโทษผู้กระทำผิดด้วยการตัดสินจำคุก 20 ปี และถ้าผู้ใหญ่คนนั้นเป็นเจ้าของสื่อลามก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้เผยแพร่แล้วด้วย ก็รับโทษจำคุกเพิ่มไปอีก 20 ปี รวมแล้วจำคุกทั้งหมด 40 ปี โน่นเลยจ้า

สำหรับประเทศไทยของเราก็มีกฏหมายเอาความผิดในคดีพรากผู้เยาว์เช่นกัน โดยผู้กระทำผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ไปจนถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสน - สี่แสนบาท









ป้องกันอย่างไร ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการถูกล่อลวง !


อันดับแรกเลยถ้าเราเป็นพ่อแม่ แล้วมีลูกที่กำลังอยู่ในวัยที่เริ่มให้ความสนใจกับโลกภายนอก, การเข้าหาเพื่อนใหม่ หรือโตพอที่จะรู้เรื่องแล้ว เราควรจะต้องพูดคุยกับลูกแบบจริงๆ จังๆ ให้ลูกรู้จักการระมัดระวังตัว หรือถ้ามีอะไรให้รีบเข้ามาปรึกษา ไม่ว่าจะพูดคุยกับเรา หรือคุณครูประจำชั้น แล้วก็ต้องให้พวกเค้ากล้าที่จะขอความช่วยเหลือเวลาที่เจอเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสม คือเอาง่ายๆ ว่าอย่าให้เด็กเพิกเฉยกับการกระทำนั้น และสิ่งสำคัญที่สุดคนเป็นพ่อแม่จะต้องเปิดกว้าง และรับฟังความคิดเห็นของลูกด้วย ลองนึกดูซิ ถ้าคุณปิดกั้น แล้วเด็กที่ไหนจะกล้ามาพูด มาปรึกษาในสิ่งที่พวกเค้าสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติกับคุณกันล่ะ


คนเป็นพ่อแม่จะต้องสร้างความสบายใจ ให้ลูกรู้สึกว่าสามารถเข้ามาปรึกษา

หรือเล่าเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละวันให้เราฟังได้แบบไม่ขัดขืน



รวมถึงต้องค่อยๆ สร้างความเข้าใจให้กับพวกเค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศเอย หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมเอย คือมันแอบฟังดูยากแหละ เพราะการจะพูดคุยเรื่องนี้ได้ เราจะต้องระวังถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็กด้วย ต้องอาศัยความค่อยเป็นค่อยไป เพราะถ้าเราจะไปปล่อยระเบิดใส่ลูกครั้งเดียวเลยว่า ห้ามยุ่งกับคนแปลกหน้านะ แบบนี้จะกลายเป็นว่าเด็กอาจจะขาดทักษะในการเข้าสังคม กลายเป็นคนที่ไม่เปิดรับมิตรภาพใหม่ๆ ซึ่งจะมีผลต่อตัวของพวกเค้าในอนาคตอย่างแน่นอน ที่สำคัญการแสดงความรักกับลูกนั้นไม่ผิด แต่ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของความเหมาะสมด้วย

คุณพ่อคุณแม่ท่านไหน หรือใครก็ตามที่รู้ว่าตัวเองกำลังมีความผิดปกติกันอยู่ เราแนะนำให้ไปปรึกษาจิตแพทย์โดยด่วน เพราะเรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะทุกคน ยิ่งนานวันเข้ามันก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอนว่า มันไม่ใช่เรื่องของคุณเพียงคนเดียว แต่มันอาจจะเลวร้ายจนส่งผลกระทบกับคนรอบข้างกันได้เลย



ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก : th.wikipedia.org และ petcharavejhospital.com