หน้าแรก Sritown.com

ผู้เขียน หัวข้อ: ของดีที่ต้องดู ! รวมหนังฟีลกู้ดดีต่อใจ ปีใหม่นี้ฉันจะต้องสตรอง !  (อ่าน 936 ครั้ง)

promotion

  • โจรสลัดจอมลุย / โคโนฮะกลุ่ม 7
  • *
  • กระทู้: 2499



ผ่านไปอีกปีแล้ว... ถ้าตัดเรื่องโควิดออกไป

ปี 64 ของทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง ?



บางคนอาจจะมีชีวิตดี ๆ ส่วนบางคนกว่าจะผ่านมาได้ถึงสิ้นปี ก็ทำเอารากเลือดอยู่เหมือนกัน เอาน่า ไม่เป็นไร ปีหน้าฟ้าใหม่ เริ่มต้นกันใหม่ก็ได้เนอะ   และเพื่อเป็นการเติมกำลังใจให้ทุกคน เรามีหนังฟีลกู้ดดี ๆ มาป้ายยาให้ทุกคนไปหามาดูในช่วงวันหยุดปีใหม่นี้กันด้วย ดูจบแล้วจะได้ฮึกเหิม เติมพลังในการไฟว์กับชีวิตในปี 65 ที่กำลังจะมาถึง !



คัดมาแล้ว ! 15 หนังฟีลกู้ดดีต่อใจ ดูจบเมื่อไหร่เหมือนได้พลังบวกเมื่อนั้น 





หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 1 : Wonder


"แม่ของผมชอบพูดเสมอว่า...

ถ้าผมไม่ชอบสิ่งที่เป็นอยู่ ก็แค่จินตนาการถึงสิ่งที่ผมอยากจะเป็น"



การต่อสู้ของ อั๊กกี้  เด็กชายคนนึงที่โตมาพร้อมกับความผิดปกติทางใบหน้า ทำให้เค้าต้องเข้ารับการผ่าตัดมากกว่า 27 ครั้ง ทั้ง ๆ ที่มีอายุแค่เพียง 10 ขวบเท่านั้น ใบหน้าของอั๊กกี้ถูกคนรอบข้างมองว่ามันประหลาดและน่าเกลียด และเมื่อเจอบ่อยเข้า มันเลยทำให้เค้าขาดความเชื่อมั่นในตัวเองไปในที่สุด จนถึงเวลาของการเข้าเรียนชั้นประถมเป็นครั้งแรก อั๊กกี้ต้องเผชิญหน้ากับเด็กทั้งโรงเรียนที่มองเค้าไม่ต่างจากคนอื่นที่ผ่านมา เค้าจะสามารถลบล้างความคิดอคติของเด็กนักเรียนคนอื่นที่มีต่อตัวเองได้ยังไง บอกเลยว่าหนังเรื่องนี้ฟีลกู้ดดีต่อใจทุกคนแน่นอน !

ปันโปรอยากบอก : นักแสดงที่มารับบท อั๊กกี้  ของเรื่องนี้ได้แก่ เจคอบ เทรมเบลย์ ที่เคยฝากผลงานในภาพยนตร์เรื่อง Room กันมาแล้ว เรื่องนั้นก็ว่าเล่นดีแล้ว พอพี่โปรมาเรื่องนี้ก็คือเล่นดีเข้าไปใหญ่ ทางเรานี่น้ำตาไหลพราก ๆ กันเลยแม๊...








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 2 : About Time


"ต่อให้คุณจะย้อนเวลากลับไปได้ แต่คุณก็ไม่สามารถทำให้ใครรักคุณได้"


ขึ้นแท่นหนังในดวงใจของใครหลายคน เพราะมันคือเรื่องของสัจธรรมชีวิตที่แท้ทรู เรื่องนี้เป็นหนังรักโรแมนติก ปนดราม่าหน่อย ๆ (หรือไม่หน่อยสำหรับใครบางคนกันนะ) เรื่องราวของ ทิม ชายหนุ่มคนนึงที่ค้นพบว่าตัวเองสามารถเดินทางย้อนเวลาได้ กับ แมรี่ หญิงสาวที่เค้าตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น เรื่องราวฟังดูเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกี่ยวกับความสามารถในการเดินทางย้อนเวลาของเค้า กาลเวลาได้เล่นตลกกับทิมและแมรี่ อีกทั้งยังรวมถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตัวของเค้าด้วยเช่นเดียวกัน อ่านมาจนถึงตอนนี้พี่ promotion แนะนำว่าถ้าใครที่ยังไม่ได้ดูอาจจะมองว่า มันวุ่นวายไปไหมนะ ดูแล้วจะงงหรือเปล่า อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้น ลองไปดูกันก่อน เผลอ ๆ อาจจะมีติดใจ

ปันโปรอยากบอก : หากใครที่ชื่นชอบการแสดงของ ราเชล แม็กอดัมส์ (นางเอกของเรื่อง) ก็สามารถไปติดตามผลงานเรื่องอื่น ๆ ของเธอกันต่อได้ ที่เราชอบก็จะมี The Notebook รวมไปถึง Mean Girls เรื่องหลังนางรับบทร้ายด้วย แต่เป็นนางร้ายที่น่าเอ็นดูมาก 








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 3 : Blind Side


"เธอเปลี่ยนชีวิตของเด็กคนนั้น"

"ไม่ เค้าต่างหากที่เปลี่ยนฉัน"



เป็นหนังที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงของ ไมเคิล ออร์  นักอเมริกันฟุตบอล NFL ชื่อดัง ที่ตัวหนังได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตวัยเด็กของเค้า กับเศรษฐินีคนหนึ่งที่เค้าให้ชื่อว่า เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ เป็นคนที่ฉุดเค้าให้ลุกขึ้นมาเป็นเด็กที่มีความฝัน มีแรงบันดาลใจ

พี่ promotions อยากบอกว่าถึงตัวหนังจะออกแนวดราม่ากระตุกน้ำตาอยู่หลายฉาก อย่างบางฉากอาจจะสะเทือนอารมณ์พอสมควร ซึ่งมันทำให้เห็นว่าไม่ใช่แค่ในหนัง แต่ชีวิตจริงของพวกเรา ก็สามารถถูกทำร้ายได้แบบนี้เหมือนกัน ที่สำคัญหนังยังได้นักแสดงที่มีชื่อเสียงอย่าง แซนดรา บุลล็อก มารับบทเศรษฐินีคนนั้นด้วย ยิ่งทำให้ตัวหนังน่าติดตามมากกว่าเดิมอีก








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 4 : The Devil wears Prada


"ความจริงก็คือ... ไม่มีใครทำในสิ่งที่ฉันทำได้ "


ความจิกกัดให้ 100 ความสนุกให้ล้าน สายแฟทั้งหลายน่าจะโดนใจไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะคนที่กำลังท้อแท้กับงาน รู้สึกว่างานมันหนัก มันเหนื่อย ทำอะไรก็ไม่ถูกใจเจ้านายสักที ถ้าเพื่อน ๆ มีความรู้สึกแบบนี้กันอยู่ เห็นทีว่าจะต้องแตะมือกับ แอนเดรีย นางเอกของหนังเรื่องนี้เค้าแล้วล่ะ เพราะชีวิตของแอนเดรียคนนี้เต็มไปด้วยความโชกโชน ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่คาดฝันว่าจะต้องทำมาก่อน ต้องเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นอีกคนเพื่องาน ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้านายพอใจ รวมถึงอีกหลายคำว่า 'ต้อง'

ซึ่งหนังเรื่องนี้ไม่ได้เชิดชูคำว่า งาน อย่างที่หลายคนกำลังเข้าใจ แต่พี่ โปรโมชั่น ว่ามันกำลังสอนให้เรารู้จักคำว่า Work-Life Balance ได้อย่างถ่องแท้มากขึ้น เพราะบางครั้งการทำงานหนัก โอเคมันอาจจะดีก็จริง แต่มันก็ทำให้เราพลาดโอกาสสำคัญหลาย ๆ โอกาสในชีวิตไปก็ได้ หากเพื่อน ๆ ที่กำลังท้อแท้กับการทำงาน อยากทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หนังเรื่องนี้อาจจะสร้างแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างให้กับคุณก็ได้ ลองดู 








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 5 : The Intern


"เธอควรจะรู้สึกดีกับสิ่งที่เธอได้ทำลงไป

และฉันไม่อยากเห็นคนอื่นมาพรากความรู้สึกนั้นไปจากเธอ"



มาต่อกันที่หนังอีกหนึ่งเรื่องที่ได้ แอนน์ แฮทธาเวย์  มารับบทนำกันอีกครั้ง ซึ่งมู้ดแอนด์โทนของเรื่องนี้ก็แอบคล้ายกับ The Devil wears Prada อยู่เหมือนกันนะ แต่ลด % ความจิกกัดลง ก่อนจะแทนที่ด้วยพลังบวกกับไกด์ไลน์ชีวิตเข้าไปแทน ซึ่ง The Intern เรื่องนี้ เนื้อหาก็ตรงตามชื่อเลยจ่ะ คือเกี่ยวกับนักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งที่ชื่อว่า เบน (รับบทโดย เดอ นีโร) พ่อม่ายวัย 70 ปี ที่จะต้องมาทำงานร่วมกันกับจูลส์ (รับบทโดย แอนน์ แฮทธาเวย์) เจ้าของบริษัทขายเสื้อผ้าออนไลน์

ซึ่งการมาเข้าร่วมกลุ่มกับคนวัยหนุ่มสาวนี้ ทำให้เบนได้พบกับสังคมการทำงานที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ซึ่งตรงกันข้ามกับไลฟ์สไตล์ของเค้าที่ช้า ๆ บวกกับความรู้ด้านแฟชั่นที่แทบจะไม่มี จนกลายเป็นว่าจูลส์เกือบจะตัดใจจากเบนไปแล้ว ถ้าไม่ได้มีเหตุการณ์บางอย่างมาพิสูจน์ความสำคัญของเค้าขึ้นมา ถึงแม้ว่าประเด็นหลักของเรื่องนั้นจะอยู่ที่การพิสูจน์ตัวตน และถึงแม้ว่าตัวหนังจะดึงเชิงให้เค้าดูน่าสงสาร แต่ท้ายที่สุดคนที่น่าสงสารจริง ๆ อาจจะไม่ใช่เค้า แต่กลายเป็นคนอื่นแทนก็ได้ !

ปันโปรอยากบอก : สำหรับใครที่ชื่นชอบการแสดงของแอนน์ แฮทธาเวย์ เราก็มีหนังในตำนานอีกเรื่องมาแนะนำอย่าง The Princess Diaries ที่แอนน์จะต้องมารับบทเป็นเจ้าหญิงฝึกหัด ซึ่งเธอก็เล่นได้น่ารักมาก ๆ ไม่ว่าจะมาในลุคของสาวน้อยผมหยิก พร้อมแว่นตาหนาเตอะ หรือจะเป็นลุคหลังจากที่ได้แปลงโฉมแล้วก็ตาม ก็คือได้ใจทางเราไปทุกลุค ทุกสไตล์เลยจ้า




เห็นผลภายใน 2 สัปดาห์
ลดผมร่วงได้อย่างชัดเจน

 









หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 6 : Green Book


"คุณไม่มีทางเอาชนะด้วยความรุนแรงได้หรอก

แต่คุณจะชนะก็ต่อเมื่อคุณรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองไว้"



สารภาพตามตรงว่านี่เป็นหนังที่ม้ามืดมาก ๆ ในความคิดของเรา เพราะเราไม่เคยให้ความสนใจมันมาก่อน จนได้มีโอกาสได้ดู เท่านั้นแหละ ถึงได้พบว่า เห้ย หนังเรื่องนี้มันดีจริง ๆ โดยหนังเรื่องนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาผ่านตัวละครหลัก 2 คน ที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว คนนึงเป็นชายผิวขาว ส่วนอีกคนเป็นชายผิวดำ ซึ่งมิตรภาพของทั้งสองคนได้เกิดขึ้นผ่านการเดินทางไปเรื่อย ๆ บนท้องถนน จากชายคนนึงที่เคยอคติกับคนผิวดำมาก่อน ก็ได้เปลี่ยนความคิดใหม่ เปิดใจยอมรับความแตกต่างนี้มากขึ้น จนเมื่อดูไป ดูมา จากประเด็นเรื่องความแตกต่างของทั้งสองคน อาจจะกลายเป็นความกลมกลืนที่เราอาจจะแยกความแตกต่างไม่ออกกันเลย








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 7 : Carrie Pilby


"ไม่มีใครชอบคนอื่นในสิ่งที่พวกเค้าเป็นตั้งแต่แรกกันหรอก

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องแสร้งทำเป็นดีกว่าที่เป็น

แล้วปล่อยให้พวกเค้าค้นพบมันทีหลัง หลังจากที่ได้รู้จักกับเราไปแล้ว"



ไม่รู้ว่ามีใครเคยเป็นเหมือนเราไหม เวลาที่ดูหนัง ดูซีรีส์ หรืออ่านหนังสืออะไรสักเล่ม แล้วมีความคิดแวบขึ้นมาในหัวว่าตัวละครเอกของเรื่องนี่มันคือตัวเราชัด ๆ ซึ่ง พิลบี้ นางเอกของเรื่องนี้แอบมีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับเราอยู่ (ไม่ได้จะบอกว่าตัวเองเป็นนางเอกนะ5555) สำหรับ Carrie Pilby เป็นเรื่องราวของ เด็กสาวที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ชอบทำอะไรคนเดียว กลัวการเข้าสังคม หรือต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาก่อน

ซึ่งเมื่อหนักเข้า มันก็ได้ทำให้เธอกลายเป็นโรคกลัวการเข้าสังคม จนครอบครัวต้องพาไปหาจิตแพทย์ ซึ่งทางออกที่จิตแพทย์ได้มอบให้นั้นก็ได้แก่ สมุดบันทึกเล่มหนึ่ง พร้อมกับโจทย์ที่ให้เธอลองหากิจกรรมที่ท้าทายตัวเองทำ แล้วจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง ซึ่งตอนแรก พิลบี้ ไม่คิดเลยว่าเธอจะสามารถทำมันได้ เธอมองว่ามันค่อนข้างจะไร้สาระ แต่ด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ที่นำพาไป ก็ได้เปลี่ยนแปลงความคิด รวมถึงเปิดโลกอะไรต่อมิอะไรที่เธอไม่คิดว่าตัวเองจะมีประสบการณ์ในสิ่ง ๆ นั้น ซึ่งนั่นก็ได้รวมถึงความรักด้วยเช่นกัน..




อ่านเนื้อหาฉบับเต็ม คลิ๊กเลย >>>
รวมหนัง








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 8 : Last Holiday


"คุณรอ และกำลังรอให้บางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น

ซึ่งหลังจากนั้นคุณก็ได้ค้นพบว่าตัวเองกำลังจะตาย..."



อะ กลิ่นอายความดราม่ามาตั้งแต่เริ่ม คงไม่ต้องบอกแล้วมั้งว่าจุดจบของเรื่องคืออะไร จะบอกว่านี่ไม่ใช่การสปอยล์แต่อย่างใด แต่เป็นคำถามที่ตัวหนังต้องการจะถามคนดูอย่างเรามากกว่า ว่าถ้าเรารู้ว่าตัวเองกำลังจะตายในอีกไม่กี่วัน เราจะใช้วันที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าและมีความสุขได้ยังไง และที่สำคัญหากใครกำลังคิดว่าหนังเรื่องนี้จะต้องดราม่าน้ำตาแตกมาก ๆ แน่นอน ทางเราบอกเลยว่าทุกคนกำลังคิดผิด เพราะอย่างที่บอกว่าเรามาในตีมหนังฟีลกู้ด รับรองว่าดูจบแล้ว จะได้อะไรนำไปปรับใช้กับชีวิตได้แน่นอน ที่สำคัญคือหนังเรื่องนี้ตลกมาก ดูแล้วทุกคนจะต้องยิ้มแก้มปริ ถึงแม้ว่าเส้นเรื่องจะเศร้ามากแค่ไหนก็ตาม








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 9 : Little Miss Sunshine


"คนแพ้ คือคนที่มั่นใจว่าตัวเองจะชนะ

โดยที่พวกเค้าไม่มีแม้แต่ความพยายามเลยสักนิด"



ได้เวลาแพ็กกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปกับครอบครัวหรรษาครอบครัวนี้ Little Miss Sunshine เป็นหนังที่มีมู้ดแอนด์โทนสดใสมากก็จริง แต่เนื้อหาก็ยังแอบมีความหม่นเบา ๆ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องปัญหาภายในครอบครัว, ลูกชายคนโตที่มีนิสัยเกเร, คุณปู่ที่ใกล้จะได้สัมผัสกับความตาย และอีกหลากหลายตัวละครที่ถึงแม้ว่าจะมีความดาร์ก ๆ แต่พวกเค้ากลับมีแสงสว่างประจำบ้านอย่าง โอลีฟ เด็กสาวผู้มีความฝันว่าอยากจะเป็นนางงามพระอาทิตย์ส่องแสง ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกคนในครอบครัวออกเดินทางเพื่อพาโอลีฟไปประกวดที่เวทีนี้ ซึ่งระหว่างทางเราจะได้ลิ้มรสชาติของแบบทดสอบที่เข้ามาถาโถมพวกเค้าทีละเรื่อง ๆ แต่รับรองว่าเมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปถึงปลายทางแล้ว ทุกคนจะต้องอิ่มอกอิ่มใจไปกับครอบครัวนี้กันแน่นอน








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 10 : Hidden Figures


"คุณจะลองเป็นวิศวกรไหม ถ้าคุณเป็นคนผิวขาว ?"

"ไม่เห็นจำเป็นเลย เพราะตอนนี้ฉันก็เป็นอยู่แล้ว"



การเหยียดสีผิวเป็นประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน แต่กลับสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนได้จริง ๆ  ที่สำคัญการต่อสู้ของคนผิวสีได้อิมแพคต่อคนทั้งโลก และพิสูจน์ให้ได้เห็นกันแล้วว่าคนผิวสีก็เป็นคนเหมือนกัน ดังนั้นอย่าได้ดูถูกหรือมองว่าพวกเค้าแตกต่างโดยเด็ดขาด เหมือนกับสาว ๆ ทั้ง 3 คนจาก Hidden Figures ที่ได้พิสูจน์ตัวเองว่าพวกเธอสามารถเป็นหนึ่งในวิศวกรของ NASA ได้ ซึ่งผลสุดท้ายพวกเธอก็ทำมันได้จริง ๆ แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น แต่ทางเราอยากจะแนะนำให้ทุกคนไปดูรายละเอียดลึก ๆ ว่ากว่าพวกเธอจะต่อสู้กันมาได้ พวกเธอได้ผ่านอะไรมาบ้าง ดูจบแล้วน่าจะสอนอะไรทุกคนได้ไม่มากก็น้อย ลองไปดูกันน้า

ปันโปรอยากบอก : หากเพื่อน ๆ คนไหนที่ดูแล้วเกิดติดใจ อยากหาหนังที่มีมู้ดแอนด์โทนแนว ๆ นี้มาดูกันเพิ่มเติม เราขอป้ายยา The Help อีกเรื่อง รับประกันความสนุก บวกความฟีลกู้ดที่ไม่แพ้เรื่องนี้ที่ได้แนะนำไปเลย








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 11 : The Holiday


"เธอควรจะเป็นนางเอกให้ชีวิตของเธอเอง ให้ตายเหอะ !"


เหมาะกับช่วงปลายปีแบบนี้สุด ๆ เพราะบรรยากาศของตัวหนังได้อิงเข้ากับเทศกาลคริสต์มาส ต่อเนื่องยาว ๆ ไปถึงปีใหม่ (ถ้าได้ดูช่วงนี้น่าจะเป็นอะไรที่อินไม่น้อย) เรื่องราวของ อแมนด้า หญิงสาวชาวอเมริกันที่เพิ่งเลิกกับแฟนไปหมาด ๆ ต้องการจะหาอะไรทำสักอย่างเพื่อให้ลืมเรื่องราวห่วย ๆ นี้ไปซะ เธอจึงได้ตัดสินใจ ขอแลกบ้าน (ชั่วคราว)  กับไอริส หญิงสาวชาวอังกฤษ ที่อยู่ในโหมดถูกทิ้งเช่นกัน ซึ่งการแลกเปลี่ยนบ้านของพวกเธอสองคน ได้นำพาเรื่องราวดี ๆ ที่น่าประทับใจตามมาอีกเพียบ !

ปันโปรอยากบอก: สำหรับหนังเรื่องนี้ทางเราขอการันตีความฟีลกู้ดได้จากผลงานการกำกับของ Nancy Meyers ที่เคยฝากผลงานเอาไว้ในหนังฝาแฝดสุดป่วนอย่าง Parent trap ซึ่งเรื่องนั้นก็อบอุ่นฟีลกู้ดไม่แพ้กัน เอาเป็นว่าถ้าใครชอบบรรยากาศของหนังเรื่อง Parent trap ก็อย่าลืมเรื่องนี้ รับรองว่าไม่ผิดหวัง !








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 12 : Morning Glory


"ไม่มีใครสนใจหรอกว่าฉันจะสามารถทำมันได้ไหม

แต่ฉันทำได้ และฉันจะทำมันให้เธอเห็น"



ฮีลจิต ฮีลใจวัยทำงานกันอีกแมทช์ ! เพราะหนังเรื่องนี้เกิดมาเพื่อมนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเราโดยเฉพาะ ดูจบปุ๊บ แล้วจะรู้ว่าไม่ได้มีแค่เราที่เจอกับเรื่องแบบนี้  ตัวหนังบอกเล่าความวายป่วงของสถานีข่าวเช้า ที่จะต้องทำทุกอย่างให้เป๊ะ เป๊ะ แล้วก็เป๊ะ กับภารกิจหลักของโปรดิวเซอร์หน้าใหม่ (รับบทโดย ราเชล แม็กอดัมส์) ที่จะต้องกอบกู้เรตติ้งของข่าวเช้าให้กลับมาได้อีกครั้ง

ซึ่งนั่นก็เต็มไปด้วยความอึดอัด กดดัน ความพยายามทำทุกอย่าง ทำยังไงก็ได้ให้เรตติ้งกู้หน้ากลับมาได้ ที่สำคัญยังมีความวุ่นวายของสองพิธีกรข่าว (ที่ไม่ถูกกัน) มาให้โปรดิวเซอร์หน้าใหม่ของเราไกล่เกลี่ยไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย เธอจะทำได้ไหม เรตติ้งจะกลับมาปังได้หรือเปล่า ไปดูกัน !








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 13 : A Beautiful Day in the Neighborhood


"มันไม่ง่ายหรอกสำหรับการพยายาม

เพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คุณโตขึ้น"



มาต่อกันที่หนังอีกเรื่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับรายการโทรทัศน์ ที่ได้ตัวพ่ออย่าง ทอม แฮงส์ มารับบทเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดัง บอกก่อนว่าหนังเรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องจริงของนักข่าวคนหนึ่งที่ถูกส่งให้ไปสัมภาษณ์ เฟรด โรเจอร์ส พิธีกรรายการชื่อดัง ขวัญใจคนทั้งประเทศ ซึ่งการสัมภาษณ์ของเค้า แน่นอนล่ะว่ามันได้เปลี่ยนให้คน ๆ นึงที่มีความคิดอคติขวางโลกโนสนโนแคร์ ให้กลายเป็นคนใหม่ และตอกย้ำให้คำตอบของคำถามที่ว่า เพราะอะไรคนทั้งประเทศถึงได้รัก เฟรด โรเจอร์ส ?








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 14 : UP


"มันอาจจะฟังดูน่าเบื่อ แต่ฉันคิดว่าบรรดาเรื่องน่าเบื่อนี่แหละ คือสิ่งที่ฉันจะจำมันได้มากที่สุด"

UP หรือชื่อภาษาไทยว่า ปู่ซ่าบ้าพลัง (เอ็นดูมะ) โดย UP เป็นเรื่องราวของ คาร์ล  คุณปู่คนหนึ่งที่มีความฝันอยากจะเดินทางไป Paradise Fall และอยากจะปลูกบ้านใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับภรรยา แต่เค้าก็ไม่สามารถทำมันได้สักที จนกระทั่งภรรยาเค้าได้เสียชีวิตไป คาร์ลก็ไม่เคยสนใจความฝันนี้อีก เมื่อมันไม่ได้ เค้าก็จะไม่ฝืน

จนกระทั่งวินาทีตัดสินใจอันยิ่งใหญ่ของเค้าได้เกิดขึ้น คาร์ลตัดสินใจจะพาบ้านทั้งหลังของเค้าโบยบินไปให้ไกลแสนไกลถึงอเมริกาใต้ กับบรรดาลูกโป่งนับพันใบ และเพื่อนร่วมทางตัวป่วนอย่าง รัสเซล  ลูกเสือสำรองตัวน้อยที่สร้างสีสันให้กับหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

ซึ่งเอาดี ๆ หนังเรื่องนี้สอนอะไรเราได้เยอะเหมือนกันนะ ไม่ได้ดูเอาความสนุกอย่างเดียวเด้อ คือจริงอยู่ที่ตัวละครอย่างหนูน้อย รัสเซล จะเข้ามาสร้างสีสัน แต่เส้นเรื่องหลักอย่างความฝันของปู่คาร์ลก็ยังต้องดำเนินไปต่อ ไปจ่ะ ใครที่ยังไม่เคยดู วันหยุดยาวนี้ได้เวลาออกเดินทางไปพร้อมกับปู่คาร์ลกัน !








หนังฟีลกู้ดเรื่องที่ 15 : Green Mile


"ฉันพยายามช่วย ฉันพยายามเอามันออกไป แต่มันก็สายเกินไปแล้ว.."


ที่สุดของความดราม่าน้ำตาแตกสำหรับเราคือเรื่องนี้จ่ะ แนะนำว่าควรดูคนเดียว จะได้ปล่อยโฮได้แบบไม่ต้องอายใคร ดูแล้วสงสาร จอห์น จับใจ อยากให้โชคชะตาได้เข้าข้างคนดี ๆ อย่างเค้าบ้าง   อะ มาว่ากันที่ตัวหนังกันก่อน Green Mile เป็นหนังที่เล่าเรื่องย้อนอดีตของ พอล ที่เคยเป็นอดีตหัวหน้าผู้คุมนักโทษประหาร ซึ่งในยุคที่เค้าทำงานตอนนั้น เป็นยุคที่มีการกดขี่ แบ่งแยกชนชั้น ต่อต้านคนผิวสี และอื่น ๆ อีกสารพัด และจะบอกว่าไม่ได้มีแค่กลุ่มนักโทษอย่างเดียว แต่ผู้คุมคนอื่น ๆ รอบตัวเค้าก็มีพฤติกรรมตามที่บอกด้วยเช่นเดียวกัน

จนพอลได้ไปรู้จักกับ จอห์น นักโทษผิวสีร่างใหญ่  ดูยังไง๊ ยังไง ก็น่ากลัวและมีแววว่าจะเป็นคนไม่ดี แต่ทว่าจริง ๆ แล้ว จิตใจของจอห์นดีมาก แต่เค้ากลับถูกโยนความผิด เพียงเพราะว่าตนเองเกิดมาแตกต่างจากคนอื่นเท่านั้น (จะบอกว่าดราม่าหนักมากนะ เกียมทิชชู่ไว้ได้เลย) และหลังจากที่เค้าได้ไปรู้จักกับจอห์น มันทำให้เค้าได้เห็นมุมมองดี ๆ ของคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นนักโทษ รวมถึงปาฏิหาริย์หลาย ๆ อย่าง ที่ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันก็ทำให้เค้าจำชื่อของจอห์นไปจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต



และทั้งหมดนี้ก็เป็นบรรดาหนังฟีลกู้ดในดวงใจของเรา แต่ขอออกตัวไว้ก่อนว่า คำนิยามของคำว่า ฟีลกู้ด ของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะ หนังฟีลกู้ดในมุมของเรา อาจจะไม่ได้ฟีลกู้ดในมุมของคนอื่นก็ได้ แล้วหนังฟีลกู้ดของเพื่อน ๆ ล่ะ คือเรื่องไหนกันบ้าง มาป้ายยากันต่อได้นะจ๊ะ ยิ่งถ้าดราม่า ๆ หน่อยนี่ของชอบเลย / เกียมจดลิสต์แล้วหนึ่ง