หน้าแรก Sritown.com

ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดประวัติ Jim Marshall เมื่ออุปสรรคทางร่างกายสร้างตำนานให้ "The Father of Loud  (อ่าน 1156 ครั้ง)

promotion

  • โจรสลัดจอมลุย / โคโนฮะกลุ่ม 7
  • *
  • กระทู้: 2499



เมื่อเอ่ยถึงแบรนด์เครื่องเสียงที่เป็นขวัญใจ และได้รับความนิยมในหมู่เพื่อนๆ ชาวปันโปรของเรา คงจะหนีไม่พ้น Marshall ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองจากเครื่องขยายเสียง พัฒนามาสู่โปรดักส์ที่ตอบโจทย์และเข้าถึงคนกลุ่มต่างๆ ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ของสินค้าที่ดูทันสมัย มีความเป็นของแต่งบ้านเบาๆ รวมถึงลักษณะของโปรโมชั่นโปรดักส์ที่ไม่ได้ตอบโจทย์แค่นักดนตรีเพียงอย่างเดียว แต่ยังแตกไลน์ให้คนทั่วไปได้เข้าถึงความเป็น Marshall ได้ง่ายขึ้น

ซึ่งใครจะไปรู้ว่า กว่าแบรนด์จะประสบความสำเร็จแบบนี้ ถ้าไม่ได้เริ่มต้นมาจากพรสวรรค์ของเด็กคนหนึ่ง เชื่อว่าแบรนด์ Marshall ที่พวกเรารู้จักกัน อาจจะไม่ได้โด่งดัง หรือเกิดขึ้นมาเป็นแบรนด์เลยก็ได้







Jim Marshall ภาพจาก marshallforum.com



อุปสรรคทางร่างกาย ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ Jim Marshall

Marshall เป็นแบรนด์เครื่องเสียงที่ได้รับความนิยมในหมู่นักดนตรี รวมไปถึงวงดนตรีชื่อดังระดับโลกหลายต่อหลายวง อาทิ Oasis, Muse, Bring Me The Horizon อีกทั้งยังเคยถูกพบเห็นในทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินเดี่ยวชื่อดังไม่ว่าจะเป็น Justin Timberlake, Lana Del Ray แต่ Marshall คงจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสและกระทบไหล่ศิลปินชื่อดังระดับโลกแบบนี้ หากไม่ได้ถูกคิดค้นและพัฒนามาจากพรสวรรค์ของ Jim Marshall

จิมเติบโตมาพร้อมๆ กับความผิดปกติทางร่างกายตั้งแต่เด็ก เค้าเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลบ่อยมาก โดยความผิดปกติทางร่างกายที่ว่านี้ก็ได้แก่ ความผิดปกติในเรื่องของกระดูก  ซึ่งคุณพ่อของเค้าได้แนะนำวิธีการบริหารกล้ามเนื้อด้วยการเต้น Tap เผื่อว่าการขยับร่างกายด้วยวิธีการเต้นนี้ จะช่วยทำให้กระดูกของเค้าแข็งแรงขึ้นมาได้บ้าง และถ้าทุกคนเคยรู้จักหรือเคยเห็นการเต้น Tap ผ่านตากันมาบ้าง จะบอกว่าการเต้นลักษณะนี้ไม่ได้เป็นแค่การเต้นธรรมดาๆ แต่มันยังเป็นการเต้นที่ให้จังหวะเหมือนกับเครื่องดนตรีด้วยเช่นกัน

ซึ่งประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงนี้เลยทุกคน เพราะการเต้น Tap ตามคำแนะนำของพ่อ เป็น promotion เบิกทางที่ทำให้จิมค้นพบว่าตัวเองมีความหลงใหลในเสียงดนตรีเป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำร่างกายของเค้าเองก็ค่อยๆ แข็งแรงมากขึ้น บวกกับความหลงใหลในเสียงดนตรีที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน มันเลยทำให้จิมมุ่งหน้าเข้าสู่วงการดนตรีโดยเริ่มจากการหัดเล่นเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ก่อนจะรับบทบาทเป็นคุณครูสอนตีกลองในเวลาต่อมา









ซึ่งต้องบอกว่าความหลงใหลที่จิมมีให้กับเสียงดนตรีนั้น ไม่เคยแผ่วเลยทุกคน แล้วยิ่งพอมาจับงานสายดนตรีมันเลยยิ่งปลุกปั่น promotions ความกระหายในตัวให้เพิ่มมากขึ้น จน Jim Marshall and Son ถือกำเนิดขึ้นมา มันคืออะไร ? มันคือร้าน Music Store ที่จิมสร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองกับครอบครัว โดยร้านตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และอย่างที่บอกว่ามันคือ Music Store ดังนั้นมันจึงเต็มไปด้วยเครื่องดนตรีหลากหลายประเภท แต่ด้วยความที่ว่าดนตรีที่มาแรงในยุคนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นแนว Jazz เลยทำให้ฐานลูกค้าใหม่ๆ ของเค้ายังไม่ค่อยมีเท่าไหร่

แต่ถ้าจะบอกว่าร้านของเค้าไม่มีลูกค้าเลย ก็ไม่ถูกนะ เพราะส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามามักจะเป็นกลุ่มลูกศิษย์ที่เคยเรียนตีกลองกับเค้า ไปจนถึงกลุ่มเพื่อนของลูกชาย ที่ในสมัยนั้นเรียกกันว่าเป็นกลุ่ม Young Rock Musicians ที่เป็นกลุ่มนักดนตรีแนวใหม่ สวนทางกับแนวเพลง Jazz ที่กำลังบูมสุดๆ และเมื่อโปรถูกพูดถึงปากต่อปากมากขึ้น ร้าน Jim Marshall and Son ก็เลยกลายเป็นมีชื่อเสียงขึ้นมาในหมู่นักดนตรี ที่มักจะชอบแวะเวียนเข้ามาดูสินค้า พูดคุย คือให้ฟีลเหมือนเป็น Community ประมาณนั้นเลย


" เมื่อไม่มีสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เราเลยสร้างมันขึ้นมาให้ "
นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของเครื่องขยายเสียง Marshall



ใครว่าจิมจะไปสุดแล้วหยุดที่ร้านขายเครื่องดนตรีของเค้าเท่านั้น บอกเลยว่าไม่ใช่ และไม่รู้ว่าจะขอบคุณจิม หรือขอบคุณลูกค้าคนนั้นดี เพราะมีอยู่วันหนึ่งหลังจากกิจการ Jim Marshall and Son กำลังไปได้สวย ลูกค้าวัยรุ่นของเค้ากลุ่มนึง ได้ออกความเห็นในทำนองที่ว่า เครื่องขยายเสียงที่จิมเอามาขาย มันไม่มีโทนเสียงที่พวกเค้าต้องการเลย และเมื่อได้ความเห็นแนวๆ นี้เข้ามาเยอะ บวกกับความรักในเสียงดนตรีของเค้า จิมและลูกชายเลยตัดสินใจว่าจะผลิตเครื่องขยายเสียงขึ้นมากันเอง

โดยจิมกับลูกชายได้แบ่งหน้าที่กันดูตามนี้ จิม ดูเรื่องกลไกของผลิตภัณฑ์ ส่วนเทอร์รี่ ลูกชาย ดูเรื่องแผงวงจร, ส่วนประกอบ รวมถึงการทดลองต่างๆ และถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้ผ่านประสบการณ์เกี่ยวกับเครื่องขยายเสียงมาก่อนเลย แต่ด้วยประสบการณ์ด้านดนตรีที่ผ่านมา ทำให้เครื่องขยายเสียง Marshall ถือกำเนิดขึ้นมาจนได้





เห็นผลภายใน 2 สัปดาห์
ลดผมร่วงได้อย่างชัดเจน

 









ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อเสียงของ Jim รวมถึง Marshall ก็ได้ถูกพูดถึงกันมาเรื่อยๆ ซึ่งแบบนี้เราไม่ได้มองว่าเค้าเป็นคนที่มีความสามารถเพียงอย่างเดียวนะ แต่การที่เค้าประสบความสำเร็จแบบนี้ได้ เรามองว่าส่วนหนึ่งมันก็มาจากพรสวรรค์และความหลงใหลด้านดนตรีที่อยู่ในตัวของเค้าด้วย

และหลังจากเครื่องขยายเสียงตัวแรกของแบรนด์ถือกำเนิดขึ้น ร้าน Jim Marshall and Son ก็ได้เปิดสาขาที่ 2 ตามมา โดยสาขานี้มีความหลากหลายของตัวสินค้ามากขึ้น บวกกับความต้องการรวมถึงความสนใจจากลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นด้วย จนกลายเป็นว่าเมื่อความต้องการมันถาโถมเข้ามา จนเค้ากับลูกชายลงมือทำกันเองไม่ไหว เลยได้ขยายกิจการจนกลายเป็นโรงงานขึ้นมาแทนที่

ผลิตภัณฑ์ของจิมถูกนำมาใช้ในวงดนตรีระดับโลกชื่อดังมากมายอย่างที่บอกกัน อีกทั้งถ้าเราจะยกย่องว่าเค้าเป็นบุคคลที่ทุ่มเทและรักในวงการดนตรีอย่างแท้จริง เรามองว่าไม่แปลกอะไรเลย ด้วยความอุทิศตัวที่จิมมีให้กับวงการดนตรีนี้ ทำให้ชื่อของเค้าได้ไปปรากฏอยู่บน Hollywood Walk of Fame ในปี ค.ศ. 1985 รวมถึงยังได้รับรางวัล Queen's Award for Enterprise อีกด้วย









ชื่อของ Father of Loud ยังคงอยู่ตลอดไป
ชื่อของ Marshall ก็เช่นกัน


หลังจากประสบความสำเร็จกับการผลิตเครื่องขยายเสียง จนตอนนี้ได้ผันตัวเองให้กลายมาเป็นแบรนด์สินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากขึ้น ทั้งมีการวางแผนการตลาดโดยจัดส่วนลด หรือ ลดราคา ซึ่งเพื่อนๆอาจจะได้เห็นทางออน์ไลน์กันมาบ้างแล้ว เรียกว่าความนิยมของ Marshall ก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ ในทุกวัน แต่จุดสังเกตนึงที่ไม่รู้ว่าเราคิดไปเองไหม แต่เรารู้สึกว่ากลิ่นอายของโปรดักส์ทุกตัวของ Marshall มันมักจะแฝงไปด้วยความเป็น Rock Music ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นโปรดักส์ที่เกี่ยวข้องกับ Rock Music โดยตรง แต่ก็ถือว่าเป็นเอกลักษณ์เบาๆ ที่เราสามารถสัมผัสได้ในตัวโปรดักส์ของเค้า

ซึ่งการผันตัวเองให้มีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้นนี้ ถือว่าเป็นการมองภาพได้ขาดมากๆ นะ เพราะเดี๋ยวนี้แบรนด์ใหญ่ที่ก่อตั้งมานาน ถ้าไม่รีแบรนด์ตัวเอง หรือพัฒนาตัวเอง เราว่ามันไปต่อได้ยากมาก อย่างแบรนด์แว่นตากันแดดรุ่นพ่ออย่าง Ray-Ban ก็อาศัยการพัฒนา ปรับปรุง ให้สินค้าของตัวเองสามารถตอบโจทย์และเข้ากับวิวัฒนาการที่เปลี่ยนไปได้ ซึ่ง Marshall เองก็ไม่ต่างกัน

คือตอนนี้กลายเป็นว่าไม่ว่าใครๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของ Marshall ได้ โดยที่คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นนักดนตรีเสมอไป แล้วสาเหตุของมันมาจากอะไร ? 









ในปี ค.ศ. 2010 ที่ผ่านมา Marshall ได้แหวกกฏของตัวเองจากการเป็นผู้ผลิตเครื่องขยายเสียงเดิมๆ มาเจาะกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจในสินค้าประเภทหูฟังกันบ้าง ซึ่งการเปิดตัวโปรดักส์ใหม่อย่างหูฟังนี้ ได้มาในรูปแบบของหูฟังครอบที่มีเอกลักษณ์อย่างโลโก้ชื่อแบรนด์สีขาวที่อยู่บริเวณด้านบนฝาครอบสีดำ เป็นอะไรที่ดูทันสมัย และได้ใจกลุ่มลูกค้ากันตั้งแต่เปิดตัว โดยถือว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะอิงไปกับไลฟ์สไตล์ที่คนในช่วงนั้นที่มักจะชอบพกหูฟังเวลาออกไปข้างนอก หรือแม้แต่อยู่ในบ้านเองก็ตาม ซึ่งหูฟังของ Marshall นี้ ยังมีความเป็นแฟชั่น แต่ก็ยังไม่ทิ้งความมีคุณภาพด้านเสียง รวมถึงเทคโนโลยีเกี่ยวกับเสียงเช่นเคย

โดยการมาของหูฟังแบบครอบนี่แหละ ที่เป็นใบเบิกทางให้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Marshall ประสบความสำเร็จและเป็นที่สนใจของผู้คนได้อย่างต่อเนื่อง จนตอนนี้กลายเป็นว่าโปรดักส์ไลน์ใหม่ๆ (ที่ไม่ได้ตอบโจทย์เฉพาะแค่นักดนตรี) ก็ได้ถูกเปิดตัวออกมาเรื่อยๆ ไล่มาจากเครื่องขยายเสียง ลำโพง หูฟัง จนตอนนี้ลามมาถึงเสื้อผ้า, ของใช้, กระเป๋า และอื่นๆ อีกมากมาย และยังมีการโปรโมทผ่านสื่อออนไลน์และมีโปรออนไลน์จากหลายๆแพล็ตฟอร์ม สำหรับใครที่อยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ > คลิ๊ก

ก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินคำพูดนึง อารมณ์ประมาณว่า การที่คนเราจะทุ่มเทหรือทำอะไรสักอย่างได้ดี ก่อนอื่นเลยคนๆ นั้นจะต้องมี Passion หรือความสนใจในสิ่งๆ นึงก่อน  ไม่ว่า ณ ตอนนั้นคุณจะมี หรือไม่มีความรู้ในสิ่งที่สนใจก็ตาม แต่ขอให้เรามีความสนใจ อยากที่จะศึกษา หรือทำอะไรบางอย่าง ที่มันสามารถเปลี่ยนแปลงความสนใจของเรานั้น ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้





ซึ่งจิมก็เป็นตัวอย่างที่ดี ที่ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากๆ เพราะเค้าสามารถต่อสู้กับอุปสรรคทางร่างกาย ก่อนจะก้าวเข้าไปเข้าหาสิ่งที่ชอบ ทำจนมันใช่ จนได้กลายมาเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ได้ ซึ่งนอกจาก Marshall แล้ว ยังมีแบรนด์อื่นๆ ที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน หากเพื่อนๆ คนไหนยังติดลมอยากจะอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจของแบรนด์อื่นๆ กันต่อ ทางเราขอป้ายยาบทความเหล่านี้กันต่อเลย



Ray-Ban จะผ่านมากี่ปี “แว่นกันแดดรุ่นพ่อ” แบรนด์นี้ก็ยังยืนหนึ่ง !

Charles & Keith จากร้านขายรองเท้าธรรมดา สู่การเติบโตที่ไม่มีคำว่าหยุดนิ่ง !

Uniqlo สลัดภาพแบรนด์เกรดต่ำ-ราคาถูก สู่แบรนด์คุณภาพที่ได้รับการยอมรับ

จากแบรนด์เคสมือถือเล็กๆ สู่แบรนด์ระดับโลก ! เพราะอะไร CASETiFY ถึงครองใจลูกค้าได้อยู่หมัด ?



ขอบคุณแหล่งที่มา : Marshall.com และ Wikipedia.com